แถลงปิดคดีฆ่าเผานั่งยางหนุ่มโบลท์ ชาวกาฬสินธุ์ แจ้งข้อหาหนักประหารชีวิต

        จากกรณีเกิดเหตุสะเทือนขวัญ ฆ่าโหดนายธนาธิป แวดไธสง หรือโน่ อายุ 31 ปี ชาว จ.กาฬสินธุ์ มีอาชีพขับรถเก๋ง รับ-ส่ง ผู้โดยสาร ผ่านแอปพลิเคชั่น (Grab – bolt) ในพื้นที่เมืองพัทยา แล้วนำศพไปเผานั่งยางในป่าทางขึ้นเขาวัดถ้ำประทุน โดยเหตุเกิดต่อเนื่องตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 12 มกราคม ตามที่ชาวบ้านเห็นเหตุการณ์คนร้ายใช้มีดแทงนายโน่ ก่อนจะมีการวางแผนเผานั่งยางด้วยการใช้ยางรถจยย.เพียง 4 เส้น ทำให้ไฟไหม้ศพไม่หมด จนกระทั่งมีชาวบ้านมาเจอ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาในการหาเบาะแสจากพยานแวดล้อม กล้องวงจรปิด จนทราบตัวผู้ก่อเหตุทั้งหมด รวมถึงรถยนต์ของผู้ตายด้วยว่าถูกนำไปหวังจะขายให้กับคนรู้จักกับแม่ผู้ก่อเหตุ ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น
       ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 16 มกราคม 2567 พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2 (หัวหน้าทีมสืบสวน ภ.2), พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 และ พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุไว้ได้ทั้งหมดแล้ว
        โดยเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นได้จัดทีมสืบสวนไล่ล่าคนร้ายทันที จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 ม.ค.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนคลี่คลายคดี สามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 3 คน ได้แก่ นายธีรพรรดิ์ สมคำ อายุ 23 ปี หรือวา ทำหน้าที่ใช้มีดแทงผู้ตายและชิงทรัพย์รถยนต์ของผู้ตายและทำลายศพ น.ส.มี่(นามสมมติ) แฟนสาว อายุ 16 ปี ทำหน้าที่ร่วมกันในการชิงทรัพย์รถยนต์ผู้ตายและทำลายศพ นางเอลีย่าห์ อับดลลาฮี อายุ 51 ปี ทำหน้าที่ช่วยซ่อนเร้นทำลายศพโดยวิธีการเผานั่งยาง โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่ห้องพักแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก
       จากการสอบถาม นายธีรพรรดิ์ หรือวา ผู้ก่อเหตุแทงผู้ตาย ให้การรับสารภาพว่า สาเหตุของการก่อเหตุเนื่องจากบันดาลโทสะที่ตนเองไม่มีเงินจ่ายค่าโดยสารทำให้ถูกผู้ตายต่อว่า นายธีรพรรดิ์จึงได้ใช้มีดที่ตนเองพกมาด้วยแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย และได้ร่วมกับ น.ส.มี่ (นามสมมุติ) แฟนสาว นำรถยนต์ของผู้ตายหลบหนีไป จากนั้นได้โทรบอกแม่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่ทั้ง 3 คนจะร่วมกันเคลื่อนย้ายศพไปเผานั่งยาง จนมีคนมีเจอศพดังกล่าว
        เบื้องต้นผู้ก่อเหตุทั้งหมดนั้น ถือเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีอัตราโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต และร่วมกันซ่อนเร้นทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Subscribe
Advertisement