นายกเมืองพัทยาเตรียมเร่งแผนศึกษาการพัฒนาระบบวงจรปิดทั่วพื้นที่ หลังมีปัญหาชำรุด ใช้งานได้แค่ 50 % ก่อนนำเสนอสภาเมืองพัทยาเพื่อพิจารณาต่อไป

             จากกรณีที่มีรายงานว่าปัจจุบันสภาพระบบกล้องวงจรปิดของเมืองพัทยาที่มีการติดตั้งทั่วเขตเมืองพัทยาโดยใช้งบประมาณในหลายโครงการเพื่อจัดซื้อ ติดตั้ง และเดินระบบ เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท จากจำนวนกล้องกว่า 2,000 จุดตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งพบว่าเกิดปัญหาการชำรุดเป็นอย่างมากจนทำให้กล้องวงจรปิดเหล่านี้ใช้ไม่ได้เกินกว่าครึ่งของที่มีอยู่จนเป็นที่สงสัยของประชาชนว่ากล้องเหล่านี้ที่ใช้งบจัดซื้อไปเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่กลับไม่สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการควบคุมปัญหาการจราจรและด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่มีการซ่อมแซมอย่างที่ควรจะเป็นนั้น
             กรณีดังกล่าวเมืองพัทยาเคยออกมาชี้แจงว่า ด้วยเมืองพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญจึงต้องเน้นในเรื่องของความปลอดภัยและการแก้ไขปัญหาการจราจร จึงมีโครงการในการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วเขตพื้นที่ท่องเที่ยวและจุดเสี่ยงภัย โดยมีการใช้งบประมาณจำนวนมากในการติดตั้งกล้องไปแล้วกว่า 2,000 จุด แต่ด้วยระยะเวลาที่ใช้งานมาเป็นเวลานานจึงทำให้กล้องชำรุดไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องของระบบสายส่งสัญญาณไฟเบอร์ออพติกที่เชื่อมต่อระหว่างกล้องมายังศูนย์ควบคุมหรือ CCR ซึ่งพบว่ามีปัญหาเพลิงไหม้สายส่งสัญญาณอยู่เป็นประจำ ทำให้ขณะนี้มีกล้องที่ไม่สามารถใช้งานได้มากกว่า 50% ซึ่งกรณีนี้ในอดีตเมืองพัทยาเคยว่าจ้างภาคเอกชนเข้ามาดูแลและมีข้อสัญญาที่ระบุไว้ว่ากล้องจะต้องสามารถใช้งานได้มากกว่า 80% แต่มาช่วงหลังมีข้อท้วงติงจากสำนักงบประมาณจึงได้หยุดการดำเนินการไป และทำให้ปัญหากลับมาเป็นดั่งเดิม
             ซึ่งในปีงบประมาณ 2536-2563 นี้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีแผนจะมีจัดทำระบบสายไฟฟ้าใต้ดิน เมืองพัทยาจึงได้ร่วมดำเนินการด้วยเพื่อลดปัญหาความขัดข้องของเหตุไฟฟ้าลัดวงจรปิดและเพลิงไหม้บริเวณเสาไฟฟ้าตามจุดที่ล่อแหลม ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาไปได้เป็นอย่างมาก โดยใช้งบประมาณราว 30 ล้านบาท ขณะที่อีกส่วนหนึ่งคือเมืองพัทยาได้ใช้งบประมาณในปี 2563 ในการว่าจ้างภาคเอกชนเพื่อจัดทำระบบไร้สาย หรือ Wireless เพื่อให้กล้องสามารถส่งสัญญาณได้แม้จะเกิดกรณีของการลัดวงจรหรือเพลิงไหม้ก็ตาม ซึ่งระบบนี้จะใช้ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ในงบประมาณราว 50 ล้านบาท โดยหวังจะให้กล้องสามารถใช้การได้ประมาณ 80% ของทั้งหมด อีกทั้งยังมีแผนในการว่าจ้างภาคเอกชนเข้ามาดูระบบทั้งหมดเพื่อลดปัญหา และเพิ่มประสิทธิภาพความรวดเร็วในการแก้ไข รวมทั้งแผนการเพิ่มปริมาณของกล้องอีก 800 จุด ให้ครอบคลุมทั่วทุกเขตพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มภายในปี 2564 นี้ โดยจะมีอัตราค่าดูแลระบบและการแก้ปัญหาและการเพิ่มปริมาณกล้องประมาณปีละประมาณ 50 ล้านบาท
            ล่าสุดนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ออกมาชี้แจงว่า ต้องยอมรับว่าสภาพของกล้องวงจรปิดของเมืองพัทยาที่มีอยู่จำนวน 2,027 ตัวนั้นผ่านการใช้งานมานาน และมีปัญหาการชำรุดกว่า 50% แม้ที่ผ่านมาจะเคยว่าจ้างเอกชนมาดูแลระบบ ที่มีข้อกำหนดให้กล้องต้องใช้งานได้กว่า 95% แต่หลังหมดสัญญาและถูกท้วงติงจึงได้ยกเลิกโครงการไป ทำให้สภาพกล้องกลับมามีปัญหา ส่วนหากจะนำเสนอซื้อกล้องใหม่เพื่อให้ครอบคลุมทั้ง 42 ชุมชนซึ่งประมาณการไว้ว่าอีกประมาณ 800 จุดนั้น หากไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมาดูแลก็คงจะเกิดปัญหาขึ้นอีก จึงมีแนวคิดในการดำเนินการโครงการ 3 รูปแบบ คือการนำสายส่งสัญญาณลงใต้ดิน การจัดทำระบบส่งสัญญาณแบบไร้สาย และการจ้างภาคเอกชนมาดูแลระบบในลักษณะเช่า ซึ่งจะทำให้กล้องมีประสิทธิภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา ไม่ต้องดูแลและบำรุงรักษา ขณะที่กล้องจะต้องใช้งานได้เกินกว่า 95 % ด้วย
            อย่างไรก็ตามล่าสุดจากการนำเสนอโครงการต่อสภาเมืองพัทยาเพื่อพิจารณา ได้ถูกถอนญัตติออกไปก่อน เนื่องจากสภาต้องการความชัดเจนในเรื่องของโครงการ งบประมาณ และการเปรียบเทียบระหว่างการดำเนินการเองกับการเช่าเหมาระบบ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุนสูงสุด อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและเรื่องของการบริหารจัดการการจราจรในพื้นที่ ซึ่งทางฝ่ายบริหารจะได้ทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลก่อนนำเสนอสภาเมืองพัทยาเพื่อพิจารณาอีกครั้งในเร็ววันนี้
Subscribe
Advertisement