หนังคนละม้วน! ดราม่าลูกจ้างร้านขโมยกระดูกหมู เพื่อนพนักงานยันพฤติกรรมสวนทางกับกระแสบนโซเซียล ระบุนายจ้างไม่เคยหวงกิน ขอเพียงบอก ไม่เคยห้าม ย้ำเพียงอย่าขโมย และดูแลพนักงานเหมือนคนในครอบครัว

          จากกรณีที่มีดราม่าบนโลกโซเชียลเกี่ยวกับลูกจ้างร้านข้าวมันไก่แห่งหนึ่งเดินทางไปเซ็นเอกสารยินยอมที่จะจ่ายเงินค่าปรับกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา หลังถูกเจ้าของร้านแจ้งความจับ ด้วยขโมยน้ำซุปกระดูกหมูและเนื้อไก่ จำนวน 2 ถุงกลับบ้าน จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
          ล่าสุดวันนี้ (29 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากเพื่อนพนักงานของลูกจ้างที่ขโมยน้ำซุปกระดูกหมู และเนื้อไก่จำนวน 2 ถุง ซึ่งนางลินดา วงษ์เจริญ ผู้จัดการร้านดังกล่าว ทำงานกับนายจ้างมานานกว่า 20 ปี เล่าว่า ที่ผ่านมาแม้จะเห็นพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการนำของออกจากร้าน แต่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ด้วยร้านแห่งนี้พนักงานอยู่ด้วยกันแบบครอบครัว และจะมองผ่านทุกครั้งด้วยคิดเพียงว่าใครทำแบบไหนก็ได้แบบนั้น และจะไม่ไปยุ่งเรื่องของใคร ซึ่งพนักงานที่เป็นข่าวดรามานั้นเคยทำหน้าที่หัวหน้ากุ๊กและเป็นคนดูแลสต๊อกสินค้า รวมถึงวัตถุดิบทุกอย่างภายในร้านแทนเจ้าของร้าน ซึ่งเจ้าของร้านก็ไว้ใจ ด้วยอยู่กันมานาน ส่วนกระแสข่าวเรื่องของการขโมยของในร้านนั้นมีมาสักระยะหนึ่งแล้ว และเมื่อวันที่พนักงานคนดังกล่าวถูกจับ ตนเองก็คิดว่ากรรมทำงานแล้ว

         ทั้งนี้วันที่เกิดเหตุการณ์ที่พนักงานคนนั้นนำกระดูกซุปขนาดใหญ่ที่มีเนื้อติด ไม่ใช่ตามที่เป็นข่าวว่าเป็นเพียงเศษกระดูกเมื่อช่วงเวลา 10 โมงของวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งทุกคนในร้านก็เห็นเหตุการณ์ ที่พนักงานคนนั้นตักกระดูกซุปออกมาใส่ชาม ตอนแรกคิดว่าจะทานเองที่ร้าน แต่พอมาเห็นเป็นข่าวเลยพูดคุยกับพนักงานที่ร้านว่าเขาไม่ได้กินที่ร้านหรืออย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาที่ร้านประสบเหตุการณ์ทั้งสิ่งของและวัตถุดิบหายไปอย่างต่อเนื่อง จนเจ้าของร้านได้เรียกพนักงานประชุม พร้อมแจ้งให้พนักงานทราบว่าขออย่าขโมยของออกจากร้าน ซึ่งเป็นเหมือนการเตือนพนักงานที่กระทำผิดด้วย ไม่อยากให้ใครตกงาน จึงได้มีการออกกฎหากพบใครขโมยของออกจากร้านจะมีโทษปรับ โดยในวันเกิดเหตุก็มีการตรวจค้นพนักงานทุกคนจนไปเจอของกลางที่พนักงานคนนั้นเพียงคนเดียว

            นางลินดาเล่าต่ออีกว่า ตนเองทำงานร่วมกับนายจ้างมานานกว่า 20 ปี หากนายจ้างไม่ดีจริงคงไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ทางร้านดูแลลูกจ้างเหมือนคนในครอบครัว มีปัญหาอะไรก็จะคอยช่วยเหลือ แม้แต่เรื่องความเดือดร้อนส่วนตัวก็ยังหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ แม้แต่ญาติพี่น้องเสียชีวิตพอทราบข่าวก็จะมอบเงินช่วยเหลือ ซึ่งทำแบบนี้ให้กับพนักงานทุกคน ทั้งนี้ที่ร้านมีอาหารเลี้ยงพนักงานครบ 3 มื้อ ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่เคยหวงพนักงาน ให้กินเต็มอิ่ม เพียงขออย่างเดียวอย่าขโมยของกลับบ้านโดยไม่แจ้ง อยากได้อะไรขอเพียงบอก เจ้าของร้านไม่เคยหวง ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ แม้กระทั้งโควิด-19 ระบาด พนักงานยังได้รับเงินเดือนเต็มทุกเดือนไม่มีหัก ปัจจุบันพนักงานแคชเชียร์ไม่มีคนเลี้ยงลูก เจ้าของร้านก็ยังให้มาเลี้ยงลูกที่ทำงานด้วย ก็ไม่รู้ว่าทำไมสิ่งที่เป็นข่าวมันสวนทางกลับความเป็นจริง เพราะการทำงานที่นี่เน้นการอยู่แบบครอบครัว เจ้าของร้านดูแลพนักงานเหมือนญาติ สุดท้ายอยากให้สังคมมองความจริงว่าคนที่ไปจากร้านเป็นคนแบบไหน
           ขณะนี้นางอำพันธ์ มณีรัตน์ พนักงานร้านดังกล่าว ที่ทำงานมาแล้ว 4 ปี เล่าว่า เพื่อนร่วมงานคนดังกล่าวที่เป็นข่าวออกมาโจมตีร้านนั้น จากที่เคยร่วมงานกันเป็นคนที่ไม่มีน้ำใจกับใครเลย และเป็นคนที่ไม่สนิทกับใครเลยภายในร้าน เป็นคนไม่มีน้ำใจ และนิสัยก็ไม่เหมือนตามที่เป็นข่าว ที่บอกว่าขยันทำงานมานั้นไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย ส่วนเจ้าของร้านตั้งแต่ร่วมงานมายังไม่เคยเห็นที่ทำไม่ดีกับพนักงานเลย แม้กระทั่งตนเองป่วยเป็นมะเร็ง ต้องผ่าตัดให้เลือด เจ้าของร้านก็ระดมจัดหาเลือด ให้คนรู้จักบริจาคเลือดให้ ตอนนอนพักรักษาตัวยังจ่ายเงินเดือนเต็มแบบไม่หักเงินแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งช่วงโควิดระบาดก็ไม่ลดเงินเดือนพนักงาน พนักงาน มีปัญหาก็พร้อมให้คำปรึกษาโดยตลอด แม้กระทั่งพนักงานคนดังกล่าวที่บอกเจ้าของร้านไม่ดูแล เมื่อช่วงติดโควิด-19 เจ้าของร้านก็มีการดูแลหายา หาอุปกรณ์เกี่ยวกับการป้องกันโควิดมาให้รักษา ส่งอาหารและยาบำรุงจนหาย ทำเหมือนคนในครอบครัวไม่เคยทอดทิ้ง แต่เมื่อขโมยของที่ร้านออกไปแล้วมาบอกเจ้าของร้านไม่ดี

           อยากให้สังคมแยกแยะ ระหว่างความดีกับการกระทำผิด อยากให้คนนอกที่ไม่รู้ วอนให้หยุดสร้างความเสียหายให้กับร้านจากสิ่งที่ไม่เป็นความจริง และเสียใจกับพนักงานคนดังกล่าวที่มาใส่ร้ายร้าน หากอยากทราบความจริงว่าเป็นแบบไหนให้มาถามพนักงานที่ร้าน ทุกคนพร้อมให้คำตอบที่เป็นจริง ซึ่งทางสังคมโซเชียลหากอยากจะออกความคิดเห็นก็ขอให้เป็นกลางและอยู่บนพื้นฐานความจริง พนักงานที่ทำงานที่ร้านแห่งนี้มีแต่คนจนๆ ทุกคน หากเจ้าของไม่ดีจริงพนักงานที่ทำกันมาหลายสิบปีคงจะไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ เปรียบกับตัวเองที่อายุมากแล้ว หากไปสมัครงานที่ไหนก็คงไม่มีใครรับ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไปสมัครงานหลายที่ก็ไม่มีคนรับด้วยอายุที่มาก ร่างกายและสุขภาพที่ไม่แข็งแรง แต่ร้านนี้รับมาทำงาน ทำให้มีรายได้ไปดูแลครอบครัวอีกหลายชีวิต อยากวอนสังคมให้หยุดโจมตีร้านและเป็นกลางกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาที่ร้านไม่มีปัญหาอะไร เพิ่งจะมามีปัญหาด้วยพนักงานสร้างปัญหาให้กับทางร้าน
Subscribe
Advertisement