เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 กันยายน 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังได้รับรายงานจากฝ่ายปกครองและชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ตำบลห้วยใหญ่ ว่ามีประชาชนจำนวนมากแห่กันมาตกปลาในเขตอภัยทานอ่างเก็บน้ำวัดญาณสังวรารามมหาวรวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่อภัยทานขนาดใหญ่กว่า 100 ไร่ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังมีการปล่อยข่าวลือว่าเปิดให้ตกปลาฟรีในช่วงเย็น
เมื่อผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าบริเวณสันอ่างเก็บน้ำ ซึ่งโดยปกติเป็นเขตห้ามรถยนต์เข้า แต่พบว่ามีการหักเสายางกั้นบริเวณทางเข้า ทำให้มีรถยนต์สามารถผ่านเข้าไปได้ ส่งผลให้มีประชาชนจำนวนมากนำอุปกรณ์ตกปลา อาหาร และเครื่องครัว มาจับจองพื้นที่เพื่อตกปลากันทั้งครอบครัว โดยไม่สนใจป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่ติดตั้งโดยกรมประมงว่า “เขตอภัยทาน ห้ามจับสัตว์น้ำหรือทำการประมงในพื้นที่ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ในระหว่างที่ผู้สื่อข่าวกำลังบันทึกภาพและสอบถามชาวบ้านถึงสาเหตุที่เข้ามาตกปลาในเขตอภัยทาน กลับถูกชายวัยกลางคนแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่หน่วยงานหนึ่งเข้ามาตำหนิ โดยกล่าวว่า “จะมาทำข่าวให้ชาวบ้านเดือดร้อน เขาหาปลากินกันอยู่ปกติ ไม่น่าจะมาทำข่าวให้เป็นเรื่อง ใครใช้ให้มา อยู่สำนักไหน” พร้อมทั้งตบแขนผู้สื่อข่าวให้หยุดบันทึกภาพ
จากการสอบถามชาวบ้านบางรายให้ข้อมูลว่า “ผู้ใหญ่บ้านอนุญาตให้ตกปลาได้ เพื่อระบายปลาออกจากอ่าง แต่ต้องมาตกในช่วงเย็น เพื่อไม่ให้ผู้คนทั่วไปเห็น” อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามนายสมมารถ สุภาผล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ตำบลห้วยใหญ่ ผู้ถูกกล่าวอ้าง เขายืนยันว่าไม่เคยอนุญาตให้ใครตกปลาในเขตอภัยทาน และไม่มีหน่วยงานใดที่สามารถอนุญาตได้ เนื่องจากเป็นเขตอภัยทานของวัดญาณสังวราราม พระอารามหลวงของสมเด็จพระสังฆราชองค์เก่า
ด้านจ่าเอกพงษ์ศิริ ปาทา เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารเรือ ซึ่งดูแลพื้นที่ความสงบเรียบร้อยในเขตวัดญาณฯ และเขตวิหารเซียน กล่าวว่า ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้กวดขันผู้ลักลอบหาปลาในยามวิกาลหลายครั้ง และเคยยึดอุปกรณ์ตกปลาได้ แต่ผู้ก่อเหตุหลบหนีไป และยังเคยถูกกลุ่มวัยรุ่นที่มาตกปลาบุกรุกเข้ามาหาเรื่องถึงตู้ยาม โดยอ้างว่าผู้ใหญ่บ้านอนุญาตให้ตกปลาได้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความขัดแย้งในพื้นที่
ทางเจ้าหน้าที่ สห.จึงได้ประสานกับนายสมมารถ สุภาผล ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งยืนยันชัดเจนว่าไม่เคยอนุญาต และขอให้ชาวบ้านหยุดการกระทำดังกล่าว หากยังมีการฝ่าฝืนจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเตือนว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทางหน่วยงานภาครัฐจะประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของเขตอภัยทานและความสงบเรียบร้อยในพื้นที่วัดญาณสังวราราม มหาวรวิหาร